นกเขาชวา

 นกเขาชวา

 ถิ่นกำเนิด

นกเขาชวามีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย (ชวา) , มาเลเซีย ส่วนในไทยนั้นพบมากทางภาคใต้เมื่อ 70 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาเลี้ยงในประเทศและแพร่พันธุ์ได้ดีไปทุกภาคจนกลายเป็นนกประจำถิ่น  พบได้ในทุ่งโล่ง และป่าละเมาะ และมีพบในฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย นกเขาชวาเป็นสัตว์ปีกของป่าไม้      ในประเทศไทย เป็นนกเขาที่มีขนาดเล็ก จะมีเสียงขันไพเราะเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป นอกจากนี้ยังเชื่อถือกันว่า นกเขาชวา เป็นนกที่นำโชคลาภมาให้แก่ผู้เลี้ยงอีกด้วย อำเภอจะนะ  จังหวัดสงขลา ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกเขาชวาเสียง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในกลุ่ม ของผู้เลี้ยงนกเขาชวาทั้งใน และต่างประเทศ โดยปัจจุบัน ได้มีการรวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมนกเขาชวาเสียง อ.จะนะขึ้น มีสมาชิกทั้งหมด 147 ราย นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้เลี้ยงรายย่อยอีกหลายราย และแทบทุกหลังคาเรือนจะมีกรงนกเขาแขวนไว้หน้าบ้าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2498 ประชาชนชาวอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาและจังหวัดอื่น ๆ ได้ริเริ่มทดลองการผสมพันธุ์นกเขาเล็กสยามกันขึ้น ซึ่งในจำนวนผู้ผสมทั้งหมด มีคุณปิ่น จินตนา ชาวอำเภอจะนะ เป็นผู้ประสบความสำเร็จที่ผสมนกให้ขันเสียงดีขึ้นเป็นคนแรก แต่จากปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนกเมื่อปี 47 ทำให้การส่งออกนกเขาชวาเสียงไปยังตลาดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียต้อง หยุดชะงัก และเป็นในลักษณะการลักลอบส่งออก ปัจจุบันเลี้ยงกันมากในแถบทางภาคใต้ของประเทศไทยแถบจังหวัด สงขลา สตูล พัทลุง ฯลฯ ความไพเราะของเสียงร้อง สามารถทำชื่อเสียงและราคาให้กับเจ้าของผู้เลี้ยงมากมาย จนสามารถสร้างฐานะให้กับเจ้าของผู้เลี้ยงเป็นอย่างดีและเดี๋ยวนี้นิยมเล่นแพร่หลายไปหลายพื้นที่ในประเทศไทย และต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน

     การเลี้ยงหรือการเล่นนกเขาชวาในภาคใต้

       การเลี้ยงนกของคนในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา ผู้เลี้ยงนกส่วนมากจะบอกว่ามีความสุขที่ได้เลี้ยง และมีความสำราญใจที่ได้ฟังเสียง นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันในชุมชนจนกระทั่งไปสู่การแข่งขันระดับจังหวัด ระดับประเทศ และระดับอาเซียน นกที่ชนะเลิศแต่ละสนามจะมีราคาสูงขึ้นและจะเป็นที่หมายปองของผู้เลี้ยงนก แม้นกตัวนั้นจะมีราคาสูงถึง ๑๐๐,๐๐๐-๓๐๐,๐๐๐ บาทก็ตาม จึงเกิดกลุ่มเลี้ยงนกไว้จำหน่ายยและเสาะแสวงหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากสถานที่ต่าง ๆ มาผสมเพื่อจะได้ลูกนกเสียงที่มีราคาไม่ต่ำกว่า ๓-๔ พันบาท เพราะฉนั้นการเลี้ยงนกเขาชวา จึงกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้มีเงินทุนเพื่อจะได้ครอบครองนกที่เสียงดี ส่วนชาวบ้านที่ไม่มีเงินทุนมากพอจะเลี้ยงนกกรงหัวจุกแทนซึ่งมีราคาถูกกว่า
  ถ้าจะพูดว่าการเลี้ยงหรือการเล่นนกเขาชวาเกิดขึ้นก่อนในภาคใต้ก็คงไม่ผิด เพราะตามประวัติการเลี้ยงนกเขาชวาจุดเริ่มต้นจากการที่ภูเขาไฟในประเทศอินโดนีเซียระเบิด ทำให้บรรดานกที่อาศัยอยู่บินอพยพมายังประเทศไทยจนทำให้เกิดการจับมาเลี้ยงและเพาะพันธุ์ขายกัน ซึ่งในอดีตนิยมเลี้ยงหรือเล่นนกเขาชวากันในภาคใต้ของไทยต่อมาก็แพร่หลายไปยังภาคอื่น ๆ ด้วย มีเรื่องเล่าว่าการเลี้ยงนกเขาชวาในภาคใต้้นั้นนิยมกันมาก่อนหน้านี้มากโดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ชาวนครศรีธรรมราชมีการเลี้ยงนกเขาชวาก่อน พ.ศ. ๒๔๓๐ ต่อจากนั้นก็แพร่หลายไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือสตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และก็ได้ขยายวงกว้างไปยังภาคอื่น ๆ ของไทย เช่น ราชบุรี เพชรบุรี นครปฐม ชลบุรี  จนถึงประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๙ ที่อำเภอมีนบุรี และอำเภอหนองจอก กรุงเทพฯ  ก็เริ่มนิยมเลี้ยงนกเขาชวาและนิยมต่อนกเขาชวากัน ในสมัยโบราณถือว่าการเลี้ยงนกเขาชวาไว้ประจำบ้านเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตา เลี้ยงไว้ดูเล่นแก้รำคาญ และเลี้ยงไว้ฟังเสียงเพื่อความสุขใจ รวมทั้งคนในจังหวัดภาคใต้ด้วยไม่ว่าจะเป็นคนไทยพุทธหรืออิสลามนิยมเลี้ยงนกเขาชวากันมาก โดยเฉพาะบ้านของผู้มีอันจะกินมักจะต้องหานกเขาชวาเสียงดี ๆ มาเลี้ยงไว้ประดับบ้าน และส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงด้วยใจรักมากกว่าการค้าด้วยเหตุนี้จึงทำให้นกเขาชวาในภาคใต้มีราคาสูง ซึ่งเป็นราคาที่คนซื้อพยายามเสนอให้เจ้าของนกขาย มิใช่ราคาสูงด้วยเจ้าของนกตั้งราคาเอง เหมือนทางภาคกลาง แต่ปัจจุบันลักษณะการเลี้ยงนกเขาชวาบางแห่งในภาคใต้เริ่มมุ่งเพื่อการค้าแบบภาคกลางแล้ว คนที่มีนกเขาชวาดีอยู่ในครอบครองมักมีชื่อเสียง เป็นที่อยากรู้จักของนักเลงนกเขาทั่วไป มีหน้ามีตา ดังนั้นผู้ที่มีนกเขาชวาดีในสมัยก่อน มักไม่ใคร่ยอมขายนกของตนให้ใครง่าย ๆ เพราะเกิดความรักและหลงใหลเสียงนก อีกทั้งเกรงว่าจะเป็นการขายความมีชื่อของตนไปด้วย จังหวัดทางภาคใต้นิยมเลี้ยงนกเขาชวาโดยเฉพาะจังหวัดสงขลา ปัตตานี สตูล นครศรีธรรมราช ยะลา นราธิวาส ฯลฯ ทุกบ้านที่มีนกเขาชวาจะมีเสารอกนก และมีกรงนกเขาชวาแขวนไว้หน้าบ้านระเกะระกะไปหมด อย่างน้อยมากกว่าหนึ่งกรงเสมอ จนถึงกับมีเรื่องขำขันเกิดขึ้นในสมัยก่อนคือสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจราชการที่ภาคใต้ โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วพบว่าเกือบทุกบ้านตลอดระยะทางจากปัตตานีจนถึงนราธิวาส จะมีเสารอกนกเขาอยู่ตามบริเวณบ้านทั่ว ๆ ไป จึงคิดว่าเสาดังกล่าวเป็นเสาวิทยุ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ตามอำเภอและตำบลต่าง ๆ ท่านผู้นำของประเทศถึงกับกล่าวชมกับผู้ใกล้ชิดและผู้ติดตามว่า ทางใต้นี้เจริญมากจริง ๆ มีวิทยุฟังกันทุกบ้าน ทั้งที่ความจริงมิใช่เสาวิทยุหากแต่เป็นเสารอกนกเขานั่นเอง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดอร์เม้าส์

เนื้อทราย